วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ต้นยางนา


ยางนา




ชื่อวิทยาศาสตร์ Dipterocarpus alatus Roxb.ex G.Don
ชื่อวงศ์ DIPTEROCARPACEAE
ชื่อพื้นเมือง ยางนา ยางขาว ยาง ยางแม่น้ำ ยางหยวก (ทั่วไป) ยางกุง
(เลย) ยางควาย (หนองคาย) ยางเนิน (จันทบุรี) ราลอย
(สุรินทร์) ลอย (นครพนม) ยางตัง (ชุมพร) เคาะ (เชียงใหม่)
ขะยาง (นครราชสีมา) กาตีล (ปราจีนบุรี, เขมร)
ยางนา

ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยางนาเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ อาจสูง 40-45 เมตร และเส้นผ่าศูนย์
กลางระดับอก 1.2-1.5 เมตร โดยมีความเปลาตรงไม้ถึง 20-30 เมตร เปลือกเรียบ
ค่อนข้างหนา สีเทาฝนขาวเนื้อไม้สีน้ำตาลแดง และมียางเหนียวสีน้ำตาลไหม้
ใบ เป็นรูปไข่แกมรูปหอก กว้างระหว่าง 8-15 เซนติเมตร และยาวระหว่าง
20-35 เซนติเมตร ใบค่อนข้างหนา ปลายใบแหลม โคนใบเรียบ ขอบใบเรียบ ก้านใบ
ยาว 3-4 เซนติเมตร ยางนาจะทิ้งใบในช่วงต้นฤดูหนาวประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน
ถึงธันวาคม แล้วจะมีใบอ่อนที่มีกาบหุ้มสีแดงออกทันที ใบอ่อนเมื่อแตกใหม่ๆ จะมีกาบ
สีแดงมีขนหุ้มใบมีขนอ่อนๆ สีน้ำตาล
ดอก เป็นช่อสั้นๆ สีชมพู กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลีบบิดเรียบตามกัน
แบบกังหัน ตรงกลางกลีบดอกจะมีสีชมพู ขอบของกลีบดอกจะมีสีขาว ดอกมีกลิ่นหอม
ยางนาจะมีดอกในช่วงเดือน ธันวาคม-มกราคม
ผล เป็นครีบตามความยาวเป็นจำนวน 5 ครีบ ปีกยาว 2 ปีก ขนาดกว้าง
2.5-3 เซนติเมตร ยาว 10-12 เซนติเมตร และปีกสั้นๆ รูปหูหนู 3 ปีกและผลจะ
พัฒนาจนแก่เต็มที่และร่วงหล่นในเดือน มีนาคม-เมษายน ของทุกปี
การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติและปัจจัยสิ่งแวดล้อม
ในประเทศไทย จะพบเห็นยางนาทั่วไปแทบทุกภาค ในบริเวณที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ
หรือในที่ราบซึ่งเกิดขึ้นจากการทับถมของดินจากแม่น้ำ หรือตามหุบเขาต่างๆ ตั้งแต่ระดับ
น้ำทะเล 100 เมตร ขึ้นไปจนถึงประมาณ 500 เมตร ความสูงเหนือระดับนี้ขึ้นไปแล้ว
ไม้ยางที่พบเห็นจะเป็นยางแดง (Dipterocarpus turbinatus) ไม่ใช่ยางนา
พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูก
1) ดิน ไม้ยางนาชอบขึ้นอยู่ในดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนปนดินเหนียวนิด
หน่อย ควรเป็นดินที่ระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์พอประมาณ ดินค่อนข้างลึกถึงลึก
มาก และมีความชื้นสูง ดินค่อนข้างเป็นกรด pH ระหว่าง 6.0-7.0
2) ปริมาณน้ำฝน เนื่องจากไม้ยางนาขึ้นอยู่ตามที่ราบลุ่ม จึงต้องการปริมาณ
ความชื้นค่อนข้างสูง ในภาคเหนือที่พบไม้ยางนาขึ้นอยู่จะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยอย่างต่ำ
1,200 มิลลิเมตร/ปี เช่นเดียวกับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ส่วนในภาค
5
ตะวันออกและภาคใต้ บริเวณที่มีไม้ยางนาขึ้นอยู่ จะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูงประมาณ
1,800 มิลลิเมตร/ปี
3) ฤดูกาล ไม้ยางนาจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูฝน-ฤดูหนาว แล้วจะชะงัก
การเจริญเติบโตในช่วงฤดูแล้ง
4) ไม้ยางนาเป็นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่โดดเด่นเห็นได้แต่ไกล จึงเป็นไม้ที่ต้องการ
แสงแดดมาก แต่ขณะที่ยังเป็นกล้าไม้หรือลูกไม้อยู่ ยางนาต้องการร่มเงามาก คือควรมี
ร่มเงาจากไม้หรือพืชอื่นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลาประมาณ 3 ปี จึงจะเปิดร่ม
เงาออกได้
5) จุลินทรีย์ในดิน การที่ไม้ยางนาต้องการร่มเงาในระยะแรกๆ เนื่องจากกล้าไม้
หรือลูกไม้ยางนาจะมีจุลินทรีย์ในดินที่เรียกว่า ไมคอร์ไรซา (mycorrhiza) ซึ่งเป็นพวกรา
(fungi) ขึ้นอยู่บริเวณปลายๆ รากเชื้อราไมคอร์ไรซา เหล่านี้จะอาศัยรากไม้ยางนาโดยช่วย
ให้รากไม้ยางนามีลักษณะอวบอ้วน สามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารพืชได้มาก เชื้อราจะ
อาศัยธาตุอาหารพืชจากรากไม้ยางนา ในลักษณะพึ่งพาซึ่งกันและกัน เชื้อราไมคอร์ไรซา
จะไม่ทนทานต่อความร้อน หากอุณหภูมิเกินกว่า 30 องศาเซลเซียสขึ้นไป เชื้อราจะตาย
จึงต้องมีร่มเงาให้ยางนาในระยะ 3 ปีแรก หลังจากนั้นแล้ว รากไม้ยางนาจะหยั่งลึกลงไป
ในดินมากๆ เกินกว่าความร้อนจะมีผลต่อเชื้อราได้
6) ควรปลูกไม้ยางนาในที่ราบหรือค่อนข้างราบ ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล
ตั้งแต่ 100 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 500 เมตร

การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า

การขยายพันธุ์ไม้ยางนา โดยมากแล้วทำโดยวิธีเก็บเมล็ดเพาะเป็นกล้าไม้ แล้ว
ย้ายกล้าไม้ปลูกภาคสนามในช่วงฤดูฝน การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศซึ่งอาจทำได้โดยวิธี
ตัดชำหรือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แม้ว่าสามารถทำได้ แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงไม่
นิยมกันมากนัก
การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ไม้ยางนาขยายพันธุ์ตามธรรมชาติได้ แต่อยู่ในเกณฑ์
ไม่น่าพอใจ ทั้งนี้เพราะสาเหตุบางประการ คือ
1) เมล็ด (หรือผล) ไม้ยางนา จะแก่จัดและร่วงหล่นในช่วงฤดูร้อน
(เดือนมีนาคม-เมษายน) ซึ่งความชื้นในดินมีน้อยมากจนไม่อาจกระตุ้นให้เมล็ดงอกได้
2) ในช่วงฤดูดังกล่าว การเกิดไฟป่า มีเป็นประจำทำให้กล้าไม้ที่งอกได้หลังจาก
เมล็ดร่วงหล่น หรือลูกไม้ที่งอกในฤดูกาลที่ผ่านมา ถูกไฟป่าเผาไหม้ตายหมดก็ได้ ไม้ยาง
นาค่อนข้างจะไม่ทนไฟเลยเมื่ออายุยังน้อย
3) โดยธรรมชาติ เมล็ดยางนาเป็นพวก recalcitrant ไม่สามารถจะเก็บรักษา
ในที่มีอุณหภูมิต่ำหรือมีความชื้นต่ำได้ เมล็ดที่ร่วงหล่นในเดือนมีนาคม-เมษายน จะสูญเสีย
การงอกไปหมดสิ้นแล้ว เมื่อฝนเริ่มตกในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จึงไม่มีกล้าไม้งอก
ให้พบเห็นได้
4) เนื่องจากเมล็ดไม้ยางนามีปีก จึงปลิวไปตกได้ไกลๆ จากแหล่งเดิมในที่โล่ง
เตียนก็จะแห้งตายไปดังกล่าวข้างต้น หรือถ้าตกในป่าธรรมชาติจริงๆ อาจจะไม่ถึงพื้นดิน
โดยตรง เพราะความหนาแน่นของวัชพืช หรือไม้ชั้นล่าง โอกาสงอกหรือรอดตายจึงไม่มี
ด้วยเหตุดังกล่าว การสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้ยางนาแม้จะเกิดขึ้นได้แต่อัตรา
การรอดตายต่ำมาก จนดูเหมือนว่า การสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้ชนิดนี้ไม่ดี และจะ
ต้องช่วยเหลือการขยายพันธุ์โดยการปลูกสร้างขึ้นใหม่
การเก็บเมล็ดไม้ยางนา
เมล็ดยางนาจะแก่จัดและร่วงหล่นในเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี สังเกตได้
จากปีกผลที่มีสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แสดงว่าแก่จัดแล้ว เมล็ดไม้ยางนาที่มีลักษณะ
ดีสมบูรณ์ จะสังเกตเห็นได้จากเปลือกหุ้มจะพองนูนสม่ำเสมอบริเวณปลายรากซึ่งอยู่ระ
หว่างปีกทั้งสองข้าง จะมีสีเขียวอ่อนและสดอยู่เสมอ ถ้าผ่าดูภายในเมล็ด ส่วนที่เป็นใบ
เลี้ยง จะเป็นสีขาวและมีเส้นลายสีน้ำตาลบีบดูจะรู้สึกนุ่มมือและเหนียว ถ้าเป็นเมล็ดเสีย
เปลือกหุ้มเมล็ดมักจะแฟบลงปลายรากเหี่ยวซีด เนื้อในเมล็ดจะแห้ง ล่อนไม่ติดเปลือก
หุ้มเมล็ดและเป็นสีน้ำตาล เมล็ดยางนา 1 กิโลกรัม จะมีจำนวนประมาณ 200-225
เมล็ด
เมล็ดไม้ยางนาที่ตกลงมาถึงพื้นแล้ว อาจมีทั้งเมล็ดดีและเมล็ดเสียปะปนกัน
เมล็ดจำนวนมากอาจร่วงหล่นก่อนแก่จัด เนื่องจากสัตว์บางจำพวก เช่น กระรอก หรือ
ค้างคาวกัดกิน หรือลมพายุทำให้เมล็ดอ่อนร่วงก่อนกำหนด ดังนั้นจึงต้องแยกเมล็ดดีออก
จากเมล็ดเสีย ก่อนนำไปเพาะด้วย
การเก็บเมล็ดไม้ยางนา หากทำได้ควรเก็บขณะยังติดอยู่บนต้น สังเกตเมื่อแก่จัด
แล้ว (ดูจากลักษณะสีปีกหรือสีผลที่เป็นสีน้ำตาล) ก็ให้คนปีนขึ้นไปเก็บวิธีนี้จะได้เมล็ด
สดที่เชื่อได้ว่ามาจากต้นที่ต้องการจริงๆ และเป็นเมล็ดที่ยังมีชีวิต ยังไม่แห้งเกินไป อย่าง
ไรก็ตามเมล็ดที่ติดอยู่กับต้นอาจเป็นเมล็ดที่แมลงเจาะทำลายไปแล้วก็ได้ ซึ่งอาจสูงถึง 43
เปอร์เซ็นต์ (ธิติ วิสารัตน์ และคณะ, 2536) การเก็บเมล็ดจากบนต้น แม้ว่าจะได้
เมล็ดสดจากแหล่งที่ต้องการจริงๆ แต่ปัญหาที่สำคัญคือ ไม้ยางนาที่พบเห็นส่วนใหญ่ จะ
มีขนาดใหญ่มาก เกินกว่าผู้เก็บเมล็ดจะปีนขึ้นไปได้ง่ายๆ จะเกิดอันตรายในการปีนขึ้นไป
เก็บบนต้นขนาดใหญ่ ดังนั้นในทางปฏิบัติ จึงเลือกใช้วิธีเก็บเมล็ดจากโคนต้น

ก่อนจะเก็บเมล็ดจะต้องทำการถางวัชพืชรอบๆ บริเวณที่จะเก็บเมล็ด กวาดเศษ
ซากพืชต่างๆ รวมทั้งเมล็ดที่ร่วงหล่นลงมาก่อนกำหนดทิ้งไปให้หมด ปล่อยให้เมล็ดที่แก่
จัดร่วงหล่นลงมา แล้วทยอยเก็บทุกๆ วัน นำไปแยกเมล็ดเสียออกก่อนนำไปเพาะต่อไป
เมล็ดที่เก็บมาได้แล้วควรนำมาผึ่งในที่ร่มให้ความชื้นลดลงก่อนอย่างน้อย 1-2
วัน ไม่ควรนำไปเพาะทันที เพราะเปอร์เซ็นต์การงอกจะสู้เมล็ดที่ลดความชื้นลงก่อนไม่ได้
การเพาะเมล็ดไม้ยางนา
ก่อนนำไปเพาะ เมล็ดไม้ยางนาควรนำมาตัดปีกออกก่อน เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่
วัสดุที่ใช้เพาะเมล็ดไม้ยางนา ปกตินิยมใช้ทรายท้องน้ำที่คั่วหรือราดยาฆ่าเชื้อราก่อนแล้ว
เพื่อป้องกันมิให้ราทำลายกล้าไม้ที่ออกใหม่ๆ ได้ วางเรียงเมล็ดไม้ยางนาที่ตัดปีกออกแล้ว
ให้ส่วนที่เป็นปลายรากหงายขึ้นมา กดเมล็ดให้จมลงในทราย จนถึงระดับปลายรากอยู่ใน
ระดับผิวทราย แล้วโรยด้วยทราย หรือขุยมะพร้าวบางๆ รดน้ำทุกวัน เมล็ดไม้ยางนาจะ
เริ่มออกหลังจากเพาะแล้ว 4-5 วัน และจะทยอยงอกไปเรื่อยๆ จนถึง 1 เดือน
ในกรณีที่เมล็ดไม้ยางนามีจำนวนมากไม่สามารถเพาะในกระบะเพาะชำได้พร้อมกัน
หลังจากเด็ดปีกออกแล้วให้นำมาสุมรวมกันในหลุม หรือเป็นกองๆ ใช้กระสอบป่านหรือ
ฟางข้าว หรือขุยมะพร้าวหรือขี้เลื่อยคลุมหลุมหรือกองเมล็ด รดน้ำเช้า-เย็น ทุกวันให้มี
ความชื้นอยู่เสมอ หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ เมล็ดจะเริ่มงอก จึงทำการย้าย
เมล็ดที่เริ่มงอกลงในถุงเพาะชำต่อไป

ตัดปีก
ราก
โรยทราย รดน้ำทุกวัน
กดลงทราย
ให้ส่วนที่เป็นปลายรากหงายขึ้นมา 4-5 วัน หลังเพาะ เมล็ดจะงอก
การเพาะทั้งสองวิธีข้างต้น จะต้องสิ้นเปลืองแรงงานในการย้ายกล้าไม้ยางนาที่เริ่ม
งอกจากกระบะเพาะ หรือจากหลุมหรือจากกองเพาะ ไปปลูกในถุงเพาะชำอีกครั้งหนึ่งจะ
ใช้ในกรณีที่ไม่ได้เตรียมถุงชำมาก่อน จึงใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ที่กำลังเพาะ
เมล็ด มาเตรียมถุงเพาะชำสำรองไว้ แต่ในกรณีที่เตรียมถุงเพาะชำไว้แล้วอาจเพาะเมล็ด
ไม้ยางนาในถุงเพาะโดยตรงก็ได้ถุงละ 1 เมล็ด ฝังเมล็ดลงไปในวัสดุเพาะชำลึกถึงระดับ
ปลายรากอยู่ระดับผิววัสดุเพาะชำ เมื่อเมล็ดงอกจะหยั่งรากลงในวัสดุเพาะชำ และยกใบ
เลี้ยงในเมล็ดให้สูงขึ้นมาแล้วหลุดร่วงไปในที่สุด การหยอดเมล็ดในถุงเพาะชำโดยตรงวิธีนี้
แม้ว่าไม่ต้องทำการย้ายกล้าไม้ แต่อัตราการงอกที่ไม่สม่ำเสมอแน่นอน จำเป็นจะต้องคัด
เลือกถุงเพาะชำที่ไม่มีกล้าไม้งอกขึ้นมาไปใช้งานอื่นอีกครั้งหนึ่ง
วัสดุที่ใช้เพาะไม้ยางนาในถุงเพาะชำ ปกตินิยมใช้ดินผิวจากแหล่งไม้ยางนา เพื่อ
เป็นการค้ำประกันว่าจะมีเชื้อราไมคอร์ไรซาที่จำเป็นสำหรับไม้ยางนาอยู่ในดินผิวนั้นๆ แต่การ
ใช้ดินเป็นวัสดุเพาะชำจะมีปัญหามาก โดยเฉพาะเรื่องปริมาณ น้ำหนัก ความถี่ในการให้น้ำ
การดายวัชพืช และปัญหาเชื้อราอื่นๆ ที่ติดมากับผิวดิน ดังนั้นจึงเสนอแนะให้ใช้ดินผิว
จากแหล่งไม้ยางนา 1 ส่วน ผสมกับขุยมะพร้าว 2 ส่วน เป็นวัสดุเพาะชำและใส่ปุ๋ยที่
สลายตัวช้า เช่น Osmocote 15:15:15 อีกประมาณ 1 ช้อนชา ในแต่ละถุงเพาะชำ
(ขนาด 3”x7”) จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ คือใช้ดินผิวจากแหล่งไม้ยางนาน้อยลง น้ำหนัก
เบาขึ้น ขนส่งสะดวก ไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน เพราะขุยมะพร้าวดูดซับน้ำไว้ได้มากและ
นานๆ นอกจากนั้นแล้ว ยังพบว่าระบบเรือนรากของกล้าไม้ยางนาพัฒนาได้รวดเร็ว แข็ง
แรง และมีเชื้อราไมคอร์ไรซาแผ่ขยายได้เต็มที่ ทั้งนี้เพาะขุยมะพร้าวมีคุณสมบัติร่วนซุยมี
รูพรุนมาก และเป็นอินทรียวัตถุซึ่งเชื้อราต้องการในการขยายตัว และมีผลต่อระบบเรือน
รากกล้าไม้ยางนาดังกล่าว

กล้าไม้ยางนาที่เพาะในถุงเพาะชำดังกล่าว จะมีอัตราการรอดตายสูงมากหรือ
เกือบทั้งหมดเพราะปัญหาเชื้อราอื่นๆ ที่ทำลายกล้าไม้มีน้อย วัสดุเพาะชำระบายน้ำได้ดี
และมีธาตุอาหารพืชเพียงพอเมื่ออายุกล้าไม้ยางนาประมาณ 100 วัน ก็จะสูงโดยเฉลี่ย
ประมาณ 30 ซม. พร้อมที่จะนำไปปลูกภาคสนามได้แล้ว อย่างไรก็ตามก่อนย้ายปลูก
ภาคสนาม ควรนำกล้าไม้ยางนาวางในที่โล่งแจ้ง กลางแดด ลดการให้น้ำเพื่อให้กล้าไม้
ยางนาแกร่งต่อสภาพแวดล้อมประมาณ 20 วัน จึงย้ายปลูกต่อไป
การเตรียมพื้นที่ปลูกไม้ยางนา
ดังกล่าวแล้วข้างต้น ไม้ยางนาต้องการร่มเงาในระยะแรกๆ ประมาณ 3 ปี ดัง
นั้นพื้นที่ปลูกไม้ยางนาควรมีร่มเงาอยู่ก่อนแล้ว ไม่นิยมปลูกไม้ยางนาในที่โล่งแจ้งโดยตรง
เพราะอัตราการรอดตายจะน้อย การสงวนไม้อื่นหรือปลูกพืชอื่นไว้สำหรับเป็นร่มเงาไม้ยาง
นา จำเป็นจะต้องมีการวางแผนที่มีระบบ ดังนี้

ปีแรก จะต้องเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกไม้หรือพืชร่มเงาก่อน ไม้ป่าที่นิยมปลูกสำหรับเป็น
ร่มเงาไม้ยางนา ได้แก่ สะตอ หรือ เหรียง ซึ่งมีลักษณะเรือนยอด และใบ
โปร่ง ให้ร่มเงาประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกตระกูลถั่วที่บำรุงดินได้ และ
โตเร็วพอสมควร หรือมิฉะนั้นก็ใช้แคฝรั่ง (Gliricidia sepium) เป็นพืชให้ร่ม
เงาได้ดีเช่นกัน ส่วนพืชเกษตรที่เหมาะสำหรับเป็นเงากล้ายางนา คือ กล้วยและ
ถั่วแระ (Cajanus cajan) พืชชนิดหลังให้ร่มเงาได้ดีและสามารถเก็บเมล็ดขาย
หรือเป็นอาหารได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นสามารถบำรุงดินได้ดี เมื่ออายุประมาณ 3 ปี
ถั่วแระจะตายไปเองโดยไม่ต้องตัดออก เป็นระยะเวลาที่ไม้ยางนา สำหรับไม้ป่า
ควรปลูกระยะ 8x8 เมตร เมื่ออายุ 1 ปีแล้วจะมีร่มเงาเพียงพอสำหรับยางนา
ได้แต่ถ้าเป็นพืชเกษตรควรปลูกระยะ 8x4 เมตร
ปีที่สอง หลังจากพืชร่มเงาสร้างร่มเงาได้เพียงพอแล้ว จึงเตรียมพื้นที่ปลูกกล้าไม้ยางนา
โดยการไถพรวนพื้นที่ระหว่างพืชร่มเงาได้อย่างเต็มที่ เพราะมีระยะห่าง 4 เมตร
หรือ 8 เมตร หากไม่ไถพรวนพื้นที่ก็อาจปลูกยางนาได้เช่นกัน แต่อัตราการ
เจริญเติบโตเมื่อย้ายปลูกใหม่ๆ จะสู้การเตรียมพื้นที่โดยการไถพื้นที่ไม่ได้

การปลูกไม้ยางนา
การย้ายกล้าไปปลูก ควรทำในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนกรกฎาคม หรือ
ปลายเดือนมิถุนายน เพื่อให้กล้าไม้ยางนาเจริญเติบโตได้เต็มที่ในช่วงประมาณ 5 เดือน
ที่มีฝนตกเต็มที่
ระยะปลูกที่เหมาะสม แนะนำให้ใช้ระยะห่าง 4x4 เมตร จะมีอัตราการรอด
ตายสูงมากและเจริญเติบโตได้ดี
หลุมปลูกควรมีขนาด 30x30x30 เซนติเมตร ก้นหลุมควรมีดินผิวที่ร่วนซุย
หรือถ้าทำได้ ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์รองก้นหลุมไว้ สำหรับพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งปริมาณน้ำฝน
ต่ำกว่า 1,200 มิลลิเมตร/ปี ควรใช้โพลีเมอร์ใส่ก้นหลุมๆ ละ 1 ช้อนโต๊ะด้วย เพื่อ
ให้ดูดซับน้ำไว้ในช่วงฤดูฝนและเป็นแหล่งความชื้นให้กล้าไม้ยางนาในช่วงฤดูแล้งได้ เมื่อ
ย้ายปลูกกล้าไม้ยางนาแล้ว ควรกลบหลุมให้ได้ระดับผิวดินอย่าให้น้ำขัง แต่ถ้าเป็นพื้นที่
ค่อนข้างแห้งแล้ง ควรกลบหลุมให้เป็นแอ่งเล็กๆ รอบโคนต้น เพื่อรับน้ำฝนไว้ใช้อย่าง
เต็มที่ แต่อย่าให้เป็นหลุมจนน้ำขังแช่โคนกล้าไม้ มิฉะนั้นกล้าไม้อาจตายได้

การดูแลรักษา

1) การปลูกซ่อม หลังจากย้ายปลูกกล้าไม้ไปแล้วประมาณ 1 เดือน และไม่
ควรเกิน 2 เดือน ควรทำการตรวจนับเปอร์เซ็นต์รอดตาย แล้วทำการปลูกซ่อมต้นที่
ตายทันทีภายในระยะเวลา 1-2 เดือน กล้าไม้ยางนาที่เหลืออยู่จะมีขนาดไล่เลี่ยกับกล้า
ไม้ที่ย้ายปลูกไปแล้ว และรากยังไม่แทงทะลุถุงเพาะชำลงในดินลึกมากนัก หากทิ้งระยะไว้
นานไป กล้าไม้ที่เหลือไว้สำหรับปลูกซ่อมจะโตเกินไป รากลงดินลึกมาก เมื่อถอนขึ้นมา
เพื่อย้ายปลูกซ่อมรากจะขาดและตายได้ง่าย จึงควรปลูกซ่อมในระยะ 1-2 เดือน ดัง
กล่าวแล้วยิ่งกว่านั้น การปลูกซ่อมในระยะนี้ กล้าไม้จะได้รับน้ำฝนเพียงพอต่อการตั้งตัว
ด้วย
2) การกำจัดวัชพืช เนื่องจากปลูกยางนาภายใต้ร่มเงาไม้อื่น ปัญหาวัชพืชจะไม่
รุนแรงมากนัก อาจทำการกำจัดวัชพืชเพียงปีละ 2 ครั้ง คือ ประมาณเดือนกันยายน-
ตุลาคม และในเดือนกุมภาพันธ์อีกครั้งหนึ่ง การกำจัดวัชพืชโดยใช้แรงงานคน ทำเพียง
ตัดวัชพืชให้ขาดต่ำใกล้ระดับผิวดิน หากแรงงานมีพอ จึงใช้จอบถากรอบโคนต้นและปรับ
ผิวดินให้เป็นแอ่งเล็กๆ สำหรับปรับน้ำฝนด้วย การถากรอบโคนต้นไม่จำเป็นนักเพราะ
ความหนาแน่นของวัชพืชภายใต้ร่มเงาอื่นไม่มากนัก
3) การป้องกันไฟ ทำพร้อมๆ กับการกำจัดวัชพืชครั้งที่สอง โดยการตัดวัชพืช
ออกสุมเผาภายในแปลงโดยมีการควบคุมที่ดี (controlled burning) ลดปริมาณเชื้อ
เพลิงภายในแปลงปลูก แต่ถ้าปริมาณวัชพืชไม่มากนัก ก็ไม่ควรเผา ปล่อยเศษซากพืชให้
สลายเป็นอินทรียวัตถุดีกว่า การป้องกันไฟจากภายนอกมิให้ลุกลามเข้าในแปลงปลูกควร
กระทำในระยะนี้เช่นกัน โดยการทำแนวกันไฟรอบๆ แปลงปลูกใหก้ ว้างประมาณ 4 เมตร
ในพื้นที่ราบและประมาณ 6 เมตร ในพื้นที่ลาดชัน ยาวไปรอบๆ แปลงปลูก การทำ
แนวกันไฟ อาจใช้รถแทรกเตอร์ดันเศษซากพืชให้เป็นที่โล่งติดดินหรือใช้แรงงานคนตัดวัช
พืชและเศษซากพืชต่างๆ ออกก็ได้ แต่จะสิ้นเปลืองแรงงานและเวลามาก
14
4) แมลงและโรคพืชอื่นๆ ไม้ยางนาไม่ค่อยมีปัญหาทางโรคพืชมากนัก นอกจาก
ในระยะที่เป็นกล้าไม้ หากมีความชื้นสูงเกินไป อาจเกิดโรคเน่าคอดินได้ง่าย ส่วนแมลง
ที่ทำลายไม้ยางนาอาจแยกออกได้ดังนี้
4.1 แมลงที่เจาะทำลายเมล็ดหรือผลไม้ยางนา ได้แก่พวก Culladia spp.,
Cramlus spp., Enzophera spp., ในตระกูล Pyralidae และพวก Cryphorhymchus
spp. ในตระกูล Curaelionidae อาจป้องกันได้ขณะดอกยางนาบาน และแมลงเริ่มไข่
โดยการพ่นยาฆ่าแมลง
4.2 แมลงที่ทำลายต้น-กิ่ง เป็นพวกด้วงหนวดยาวที่เจาะคอรากเจาะลำต้นหรือ
กิ่ง หนอนเจาะยอด กัดกินยอดและกิ่ง (พวก Aristobia approximate หรือ ด้วง
หนวดพู่) ด้วงงวงที่เจาะใต้เปลือกหนอนเจาะใต้เปลือกและลำต้นและหนอนผีเสื้อที่กิน
เปลือก ทั้งหมดนี้การระบาดไม่รุนแรงมากนัก
4.3 หนอนผีเสื้อกินใบหรือยอดอ่อน พวก Pyralidae หรือแมลงค่อมทอง
ที่กัดกินผิวใบหรือยอดอ่อนให้เสียหายได้ อัตราการระบาดก็ไม่มากนักเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหากมีการระบาดของแมลงเหล่านี้เกิดขึ้นรุนแรง ก็ควรควบคุมโดย
การใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นก็เพียงพอแล้ว แต่เนื่องจากการปลูกไม้ยางนาใต้ร่มเงาไม้อื่น
ระบบนิเวศน์ในพื้นที่ดังกล่าวจะมีพืชอื่นที่แมลงให้ความสนใจมากกว่ายางนา การระบาด
ของแมลงที่ทำลายไม้ยางนาจึงไม่ค่อยพบเห็น
5) การลิดกิ่ง จำเป็นมากในช่วงอายุ 3-6 ปี เพราะนอกจากจะทำให้ไม้ยางนามี
ลำต้นตรง เปลาสวยงามแล้วยังป้องกันวัชพืชประเภทไม้เลื้อยเกาะขึ้นไปปกคลุมเรือนยอด
ไม้ยางนาได้ และสะดวกในการปฏิบัติงานถากร่อง ใส่ปุ๋ย อีกทั้งเป็นการเปิดช่องให้รถ
แทร็คเตอร์ปฏิบัติงานไถพรวนได้สะดวกยิ่งขึ้น
6) การตัดสางขยายระยะ ไม้ยางนาที่ปลูกด้วยระยะ 4 เมตร x 2 เมตร จะต้อง
ตัดสางต้นขนาดเล็กออกเมื่อายุ 7 ปี เป็นอย่างน้อย และครั้งต่อๆ ไปทุก 3 ปี หรือเมื่อ
เรือนยอดเบียดกันมาก แต่ควรระวังถ้าตัดสางออกมากเกินไป จะทำให้เกิดช่องว่างในแปลง
วัชพืชจะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดเพิ่มขึ้นอีก

การใช้ประโยชน์
เนื่องจากไม้ยางนาเป็นไม้ที่มีลักษณะสูงใหญ่ ลำต้นเปลาตรงหลายเมตร โดย
ปราศจากกิ่งก้าน ไม้ยางนามีความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.70 (13%) ความแข็งของเนื้อไม้
ประมาณ 471 กก. ความแข็งแรงประมาณ 888 กก./ตร.ซม. ค่าความร้อนหากเผาเป็นถ่าน
ประมาณ 4,810 แคลลอรี่/กรัม จึงเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมการใช้ไม้มาก เพราะง่าย
สะดวกในการแปรรูป แล้วยังได้ปริมาณไม้ที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับไม้ชนิดอื่นที่มีขนาด
เดียวกัน และ คดๆ งอๆ หรือมีกิ่งก้านมาก ไม้ยางนาใช้ในการก่อสร้างทั่วไปเช่น ทำฝา พื้น
เครื่องบน ทำไม้บางสำหรับผลิตไม้อัด และใช้ทำไม้หมอนหนุนรางรถไฟ เป็นต้น
นอกจากการใช้ประโยชน์เนื้อไม้โดยตรงแล้ว ไม้ยางนาจะผลิตน้ำมันยางซึ่งเป็น
น้ำมัน หรือ resin ที่เหนียวข้น เป็นผลผลิตทางอ้อมและมีค่าทางเศรษฐกิจอีกประการ
หนึ่ง ใช้ประโยชน์ในการทำไต้ทาบ้านเรือน รักษาเนื้อไม้ ทาร่มป้องกันน้ำฝนไหลซึม ผสม
ชันยารูรั่วของเรือ ใช้ในอุตสาหกรรมยา น้ำมัน ชักเงา เป็นต้น